จอมโหด เกียรติอดิศักดิ์

จอมโหด เกียรติอดิศักดิ์ อดีตนักมวยไทยชื่อดัง มีชื่อจริงว่า จำลอง ทอดทิ้ง เกิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2513 ที่จังหวัดภูเก็ต[1] (บางข้อมูลระบุว่า เกิดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ปีเดียวกัน ที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา[2]) เริ่มต้นฝึกมวยไทยมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ โดยฝึกซ้อมทุกวัน วันละอย่างน้อย 4 ชั่วโมง โดยฝึกกับ สมัคร รักษ์บุรี ขึ้นชกสร้างชื่อเสียงที่ภาคใต้ โดยได้แชมป์ในรุ่นจูเนียร์ไลท์เวท (59.0 กิโลกรัม) ก่อนจะได้รับการแนะนำจาก พรหมลิขิต บุญโรจน์ อดีตนักมวยเวทีช่อง 7 สี ให้มาอยู่ในสังกัดของ "ใหญ่ ยิ่งยง" โพธิ์เจตน์ พานิชผล เป็นผู้จัดการ ขึ้นชกครั้งแรกที่กรุงเทพมหานครในสังกัดของ "บิ๊กอึ่ง" สหสมภพ ศรีสมวงศ์ และ "ชุ้น เกียรติเพชร" พีรพงศ์ ธีระเดชพงศ์ ด้วยการชกครั้งแรกที่เวทีช่อง 7 สี ชนะคะแนน เพชรใหม่ จ๊อกกี้ยิม ไปอย่างสนุกตื่นเต้นจากการที่เป็นนักมวยรุ่นใหญ่เลยหาคู่ต่อสู้ได้ยาก จึงนาน ๆ ครั้งจึงมีโปรแกรมการชกสักครั้งหนึ่ง แต่ได้กลายเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา จากการขึ้นชกทั้งเวทีราชดำเนิน และเวทีลุมพินี และได้แชมป์ในรุ่นจูเนียร์เวลเตอร์เวท (63.5 กิโลกรัม) ของเวทีลุมพินี ด้วยอายุ 19 ปี จากการเอาชนะคะแนน โพธิ์ไทย ช.ไวคุล พร้อมกับทำสถิติชนะรวด 19 ครั้งติดต่อกันต่อมา ใน พ.ศ. 2537 จอมโหด เกียรติอดิศักดิ์ ก็สามารถคว้าแชมป์ในเวทีมวยราชดำเนิน ในรุ่นเวลเตอร์เวท (67.0 กิโลกรัม) แล้วสร้างชื่อด้วยการคว้าแชมป์การแข่งขันมวยไทยระดับโลก ในปี พ.ศ. 2539 ด้วยการชนะ ราม่อน แด็กเกอร์ นักมวยไทยชื่อดังชาวดัตช์ ได้ และได้แชมป์มวยไทยระดับโลกถึง 14 ครั้งจอมโหด ได้เดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศฟินแลนด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ตามคำเรียกร้องของเทรนเนอร์ จนได้เปิดค่ายมวยขึ้นที่นั่น ฝึกสอนมวยไทยแก่ชาวฟินแลนด์และชาวตะวันตกทั่วไป สมรสกับหญิงชาวฟินแลนด์ และได้เดินทางกลับมาในประเทศไทย เปิดค่ายมวยขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต บ้านเกิด พร้อมกับได้กลับมาชกมวยไทยอีกครั้งเมื่ออายุมากแล้ว โดยได้เคยพบกับ บัวขาว ป.ประมุข นักมวยรุ่นน้องที่เป็นดาวรุ่งในขณะนั้นด้วย และเป็นฝ่ายแพ้คะแนนไป[2][1]ในปลายปี พ.ศ. 2555 จอมโหด ได้สร้างความฮือฮาให้แก่วงการมวยไทยและวงการกีฬา เมื่อกลับมาชกมวยไทยพบกับ สมรักษ์ คำสิงห์ อดีตแชมป์เหรียญทองโอลิมปิก ที่หันกลับมาชกมวยไทยอีกครั้ง ในพิกัดพิเศษ 150 ปอนด์ ด้วยการมีเงินเดิมพันสูงถึง 4 ล้านบาท ผลปรากฏว่าสมรักษ์เป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปอย่างเฉียดฉิว[3] ก่อนที่ในต้นปี พ.ศ. 2556 คู่นี้ได้กลับมาชกอีกครั้งในแบบล้างตา มีเงินเดิมพันสูงมากกว่าครั้งเก่า คือ 6 ล้านบาท ผลปรากฏว่า คราวนี้สมรักษ์เป็นฝ่ายเอาชนะคะแนนไปได้[4]